
ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ปฏิเสธไม่ได้จริงๆ ค่ะว่าการทำคอนเทนต์ให้มีคุณภาพยังเป็นปัจจัยสำคัญในการสร้างแบรนด์อยู่ ซึ่งคอนเทนต์ที่ดีบางครั้งก็ต้องผ่านการวางแพลน Content Pillar ผ่านกระบวนการคิด การจัดวางข้อมูลมาอย่างละเอียด และใช้เวลาที่ค่อนข้างนาน แต่สำหรับเจ้าของแบรนด์หรือนักการตลาดบางท่านที่คนในทีมน้อย มีภาระงานที่เยอะ การจะสร้างคอนเทนต์ท์ที่ดีแต่ใช้เวลาคิดวิเคราะห์นานๆ อาจไม่ใช่คำตอบที่ดีสักเท่าไหร่ ดังนั้น Generative AI จึงเป็นคำตอบที่ดีที่สุดสำหรับคุณ ! ว่าแต่ Generative AI คืออะไร ย่อมาจากอะไร สามารถนำมาปรับใช้กับ Content Pillar หรือ ธุรกิจใดได้บ้าง Digital Factoryหาคำตอบมาให้คุณแล้วค่ะ !

Generative AI คืออะไร และมีหลักการทํางานอย่างไร ?
Generative AI หรือ AI ย่อมาจาก “Artificial Intelligence” คือ ปัญญาประดิษฐ์ประเภทหนึ่งที่ถูกออกแบบมาให้มีความสามารถในการสร้างเนื้อหาใหม่ๆ คล้ายกันกับที่มนุษย์สร้างขึ้น ซึ่งความสามารถพิเศษและประโยชน์ Generative AI คือ มันถูกพัฒนาขึ้นมาผ่านการเทรนระบบจากชุดข้อมูลจำนวนมาก ไม่ว่าจะเป็นข้อมูลที่อยู่ในรูปแบบของข้อความ ข้อมูลที่อยู่ในรูปแบบของรูปภาพ เสียง เพลง หรือโค้ด
โดย Generative AI อาจกล่าวได้ว่าเป็นส่วนขยายหนึ่งของ Machine Learning ที่พิเศษกว่าเดิมเลยก็ว่าได้ จากที่ในรูปแบบเดิมจะมีการเทรนโมเดลให้สามารถคาดการณ์ และจัดหมวดหมู่ของข้อมูล สามารถพิจารณาจากแพทเทิร์นของข้อมูลที่มีอยู่เดิม จึงทำให้เจ้า Generative AI ถูกพัฒนาขึ้นมาให้สามารถระบุรูปแบบและโครงสร้างของข้อมูล จากนั้นใช้ชุดความรู้นั้นเพื่อสร้างเป็นเนื้อหาใหม่ได้อย่างรวดเร็ว ถึงแม้ว่าทั้ง 2 อย่างนี้จะมีความคล้ายคลึงกัน แต่ก็แตกต่างกันอยู่ดี ในแง่ของจำนวนและขนาดของการคาดการณ์หรือการสร้าง
ยกตัวอย่างเช่น ปกติแล้ว Machine Learning จะคาดการณ์คำถัดไป ในขณะที่ Generative AI คือปัญญาประดิษฐ์ที่สามารถสร้าง Paragraph หรือย่อหน้าถัดไปได้
AI vs Generative AI เหมือนหรือต่างกันยังไง ?
ในยุคที่เทคโนโลยี AI พัฒนาไปอย่างรวดเร็ว หลายคนอาจคุ้นเคยกับคำว่า “AI” แต่รู้หรือไม่ว่า ยังมีอีกประเภทที่เรียกว่า “Generative AI” ซึ่งกำลังเป็นที่จับตามองในตอนนี้ แล้วในแต่ละประเภททำงานอย่างไร วันนี้เราจะมาไขข้อข้องใจเกี่ยวกับ “AI vs Generative AI” ว่าต่างกันอย่างไร
1. AI หรือ Traditional AI คืออะไร
เปรียบเสมือน “ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้าน” ทำงานเฉพาะงานที่ได้รับการฝึกฝนมา โดยวิเคราะห์ข้อมูลและคาดการณ์ผลลัพธ์ตามชุดข้อมูลที่มีอยู่ ตัวอย่างที่เห็นได้ชัด เช่น
- AI หมากรุก : วิเคราะห์กลยุทธ์และคาดเดาการเดินหมากของคู่ต่อสู้จากกฎกติกาที่มีอยู่
- Siri หรือ Alexa : ตอบคำถามและทำงานตามคำสั่งที่ตั้งโปรแกรมไว้
- AI แนะนำสินค้า : วิเคราะห์พฤติกรรมการใช้งานและนำเสนอสินค้าที่ตรงกับความสนใจของผู้ใช้
2. Generative AI คืออะไร
Generative AI ต่างจาก AI ทั่วไปตรงที่ “สามารถสร้างสรรค์สิ่งใหม่ๆ ได้” โดยใช้ข้อมูลที่มีอยู่และข้อมูลที่ผู้ใช้ป้อนเพิ่มเติม สำหรับ Generative AI ใช้สำหรับงานใดบ้างนั้น เราจะขอตัวอย่างง่ายๆ ให้ทุกคนเห็นภาพได้ชัดเจนขึ้น ดังนี้
- เขียนบทความหรือแต่งนิยาย : จากข้อมูลที่ผู้ใช้กำหนด เช่น หัวข้อ เนื้อหา หรือสไตล์
- สร้างรูปภาพ : จากภาพตัวอย่างหรือคำอธิบาย
- แต่งเพลง : ทั้งทำนองและเนื้อร้อง
- เขียนโค้ด : จากคำอธิบายการทำงานของโปรแกรม
สรุปง่ายๆ ว่า AI วิเคราะห์ คาดการณ์ ทำงานเฉพาะด้าน ส่วน Generative AI สร้างสรรค์ คิดค้น พัฒนาสิ่งใหม่ ทั้ง AI และ Generative AI ต่างมีจุดแข็งและจุดอ่อนที่แตกต่างกัน เหมาะกับการใช้งานที่แตกต่างกัน การเลือกใช้ AI ประเภทใด ขึ้นอยู่กับความต้องการและลักษณะงานร่วมด้วยนั่นเอง
ประโยชน์ของ Generative AI มีอะไรบ้าง ?
1. สร้างสรรค์เนื้อหาคอนเทนต์ใหม่ๆ
ปลดปล่อยขีดจำกัดทางความคิด สร้างสรรค์คอนเทนต์ใหม่ๆ รูปแบบต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น บทความ โฆษณา วิดีโอ หรือแม้แต่โค้ด เพียงแค่ปลายนิ้วสัมผัส ผ่านเครื่องมือ Generative AI ที่ใช้งานง่าย ช่วยให้คุณประหยัดเวลาและพลังงาน มุ่งมั่นทุ่มเทกับงานสร้างสรรค์ได้อย่างเต็มที่
2. เพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน
ทลายขีดจำกัดเดิมๆ ปล่อยให้ Generative AI จัดการงานซ้ำซากจำเจ อาทิ การเขียนอีเมล การวิเคราะห์ข้อมูล หรือการสร้างรายงาน ช่วยให้พนักงานโฟกัสกับงานที่ท้าทายและสร้างคุณค่ามากขึ้น ส่งผลต่อประสิทธิภาพการทำงานที่พุ่งทะยาน
3. ปลดล็อกศักยภาพ ก้าวข้ามขีดจำกัดเดิมๆ
ค้นพบโอกาสและไอเดียบรรเจิดที่เหนือความคาดหมาย ผ่าน Generative AI ที่สามารถสร้างสรรค์ผลงานแปลกใหม่ ไม่ว่าจะเป็น เพลง วิดีโอ หรือแม้แต่โมเดล 3 มิติ เพียงแค่ป้อนข้อมูลหรือคำอธิบาย AI จะเนรมิตผลงานสุดพิเศษตามที่คุณต้องการ เช่น หากต้องการพัฒนาแอปพลิเคชันสักตัว แต่เขียนโค้ดไม่เป็น ก็ใช้การเขียนแบบ Natural Language ในการสร้างโค้ดขึ้นมาได้
4. เข้าถึงลูกค้าอย่างลึกซึ้ง
เข้าใจความต้องการของลูกค้าอย่างถ่องแท้ ด้วย Generative AI ที่สามารถวิเคราะห์ข้อมูลลูกค้า พฤติกรรม และความสนใจ ช่วยให้คุณสร้างสรรค์กลยุทธ์ทางการตลาดที่ตรงใจลูกค้า สร้างประสบการณ์ที่เหนือระดับ มัดใจลูกค้าให้อยู่หมัด
5. พัฒนาผลิตภัณฑ์ล้ำสมัย
ทลายกรอบความคิดเดิมๆ พัฒนาสินค้าและบริการใหม่ๆ ที่ตอบโจทย์ความต้องการของตลาดได้อย่างลงตัว ผ่าน Generative AI ที่สามารถออกแบบ ทดสอบ และวิเคราะห์ประสิทธิภาพผลิตภัณฑ์ ช่วยให้คุณนำสินค้าที่ตรงใจลูกค้าออกสู่ตลาดได้อย่างรวดเร็ว
Generative AI เปรียบเสมือนผู้ช่วยอัจฉริยะที่จะช่วยยกระดับธุรกิจของคุณสู่จุดสูงสุด และนำพาคุณไปสู่โลกแห่งอนาคตที่เต็มไปด้วยโอกาส ความสำเร็จ และทันสมัยมากยิ่งขึ้น
Content Pillar และการปรับใช้กับ Generative AI
“A Window to the Future of Colour” Content Pillar ตัวช่วยที่จะมาจัดระเบียบให้กับการสื่อสาร กำหนดแนวทางหรือเรื่องราวที่แบรนด์จะสื่อสารไปยังกลุ่มเป้าหมายนั้นตรงจุด ไม่หลุดโฟกัสจนเกิดเป็นการทำคอนเทนต์ที่สะเปะสะปะ
สำหรับคำถามที่ว่าการทำ Content Pillar คืออะไร สามารถใช้ควบคู่ไปกับ Generative AI ได้ไหม ? คำตอบคือ สามารถทำได้ และตอบโจทย์มากสำหรับนักการตลาดแบบ All Rounder ที่ต้องดูงานด้านการตลาดแบบ 360 องศา เมื่อใน 1 วันของการทำงาน นักการตลาดอย่างคุณยังมีอีกหลายเรื่องให้ต้องดูแล การใช้เทคโนโลยีมาช่วยให้การทำงานไวขึ้นจึงเป็นกลยุทธ์การทำงานที่ดีที่สุด

การนำ Generative AI ไปปรับใช้ให้เข้ากับธุรกิจ
จากการสำรวจเรื่องการใช้งาน Generative AI ในประเทศไทยโดยอ้างอิงจาก Salesforce (เซลส์ฟอร์ซ) บริษัท AI CRM อันดับ 1 พบว่า 99% ของพนักงานในไทย มองว่า ‘โมเดลภาษาขนาดใหญ่’ หรือ Generative AI ช่วยให้พวกเขาทำงานได้มีประสิทธิภาพมากขึ้น โดย 63% เชื่อว่า หากมีความรู้หรือความเชี่ยวชาญในเรื่อง Generative AI ในการทำงาน จะส่งผลให้พวกเขาเป็นที่ต้องการในบริษัทต่างๆ ดังนั้น วันนี้เราจึงขอนำเสนอ 5 ตัวอย่างธุรกิจที่มีการนำ Generative AI ไปปรับใช้ให้เข้ากับธุรกิจอย่างลงตัว
1. การสร้างคอนเทนต์การตลาด
งานการตลาดถือเป็นหนึ่งในจิ๊กซอว์ที่สำคัญของธุรกิจเลยก็ว่าได้ หลังจากที่ทำการตลาดออฟไลน์มาเป็นอย่างดี แต่ท้ายที่สุดแล้วถ้าลูกค้าไม่รู้จักเกี่ยวกับสินค้าและบริการของธุรกิจ หรือไม่รู้ว่าธุรกิจของคุณ ว่าทำเกี่ยวกับอะไร ก็อาจจะยากที่ลูกค้าจะมาซื้อสินค้า เพราะการตลาดไม่ใช่แค่เรื่องของการทำโฆษณาเพียงอย่างเดียว การสื่อสารออกไปให้ลูกค้าเข้าใจเกี่ยวกับแบรนด์ก็นับเป็นเรื่องที่สำคัญ แต่ในการสร้างสรรค์คอนเทนต์อาจเป็นอะไรที่ต้องใช้เวลา และบางครั้งก็ต้องอาศัยเรื่องของโชคชะตา การใช้ Generative AI มารังสรรค์ผลงานหรือคอนเทนต์ ก็เป็นอีกหนึ่งตัวช่วยที่ทำให้ประหยัดเวลามากยิ่งขึ้น ซึ่งในปัจจุบันก็มีให้เลือกมากมาย อาทิ Chat GPT, Jasper AI และ Writer AI
2. การพัฒนาการขาย
จริงอยู่ที่แนวคิด Product-led growth (PLG) หรือ กลยุทธ์การเติบโตของผลิตภัณฑ์ ที่มุ่งเน้นให้ความสำคัญในเรื่องคุณภาพ (Quality) และความต้องการของลูกค้านั้นเติบโตขึ้นมาก แต่ในขั้นตอนการขายเอง การพูดคุยกับลูกค้าก็ยังเป็นเรื่องที่จำเป็นต้องมีอยู่ ทำให้พนักงานขายต้องเรียนรู้ที่จะทำความเข้าใจลูกค้า และนำเสนอทางเลือกที่เหมาะสมกับลูกค้าแต่ละท่าน โดยเฉพาะกับการขายสินค้า และบริการที่มีมูลค่าสูง
จะดีกว่าไหม ? หากคุณเปลี่ยนแปลงขั้นตอนเหล่านี้ได้ด้วย Generative AI ที่ทำให้คุณมีทั้งคุณภาพและปริมาณไปพร้อมกัน
ตัวอย่างเช่น Sellscale ที่ใช้ AI ในการปรับแต่งการขายให้เหมาะกับกลุ่มคนที่ยังไม่เคยใช้สินค้าและบริการ เจ้าตัวนี้จะเข้ามาสำหรับเป็นตัวช่วยในการสะกดคำ ตรวจไวยากรณ์ด้วยเทคโนโลยี NLP ของ Gmail ที่ช่วยทำให้พนักงานขายประหยัดเวลา และมีเวลาไปโฟกัสกับขั้นตอนการขายอื่น ๆ ได้มากขึ้น
3. การสนับสนุนลูกค้าให้เกิด Royalty
Generative AI ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อเปลี่ยนวิธีในการให้บริการลูกค้า เพราะการให้บริการลูกค้าได้พบกับประสบการณ์ซื้อที่ดี จะช่วยสร้างความจงรักภักดีของลูกค้าให้เกิดการอุดหนุนในครั้งต่อไป อย่างไรก็ตาม การจัดหาทรัพยากรและบุคลากรที่เพียงพออาจเป็นเรื่องท้าทายสำหรับธุรกิจ และเป็นเรื่องที่ต้องใช้เวลานานกว่าจะแก้ไขปัญหาให้ลูกค้าได้ การใช้เครื่องมือ Generative AI สำหรับการให้บริการลูกค้าจึงเป็นคำตอบที่ดีที่สุด
ตัวอย่างเช่น Forethought ได้พัฒนา Generative AI สำหรับการให้บริการลูกค้าเป็นเจ้าแรก โดยระบบ AI ของ Forethought ได้ปรับแต่งโมเดลภาษาขนาดใหญ่จากข้อมูลการให้บริการลูกค้าของธุรกิจ, การแก้ปัญหารวมถึงตอบข้อสงสัยต่างๆ กับลูกค้า และการช่วยเหลือเจ้าหน้าที่เกี่ยวกับปัญหาที่มีความซับซ้อน หรือ aiKMS ระบบ AI-Powered knowledge management จาก AIGEN ที่รวมความสามารถของเทคโนโลยี NLP และ AI-OCR เข้าด้วยกัน ทำให้ธุรกิจสามารถสร้างเป็นระบบ Customer self-service เพื่อให้ลูกค้าค้นหาข้อมูลที่ต้องการ และสามารถแก้ไขปัญหาได้ด้วยตนเองในเบื้องต้นได้ โดยที่ไม่ต้องติดต่อไปที่ศูนย์บริการลูกค้าของธุรกิจ
4. การพัฒนาแอปพลิเคชัน
ในอดีตการสร้างแอปพลิเคชันนั้นเกี่ยวข้องกับการเขียนโค้ดที่คอมพิวเตอร์สามารถอ่านได้ และเตรียมโครงสร้างเพื่อพัฒนาฟังก์ชันการทำงานของแอปพลิเคชัน ซึ่งถ้าไม่ใช่ผู้เชี่ยวชาญจริงๆ อาจจะทำไม่ได้ หรือทำได้ยาก แต่ในปัจจุบัน Generative AI ได้เข้ามาเปลี่ยนแปลงรูปแบบหรือวิธีในการพัฒนาแอปพลิเคชันไปอย่างสิ้นเชิง โดยแทนที่จะเขียนโค้ดในภาษาของคอมพิวเตอร์ แต่นักพัฒนาแอปพลิเคชันสามารถใช้ภาษาทั่วไปในการสื่อสาร และ AI จะสร้างโค้ดออกมาให้เองโดยอัตโนมัติ เหมือนกับที่ AI ได้สร้างคอนเทนต์บทความ
ตัวอย่างเช่น Github Copilot และ Arcwise ซึ่งเป็นเครื่องมือที่ช่วยให้นักพัฒนาซอฟต์แวร์สามารถเขียนโค้ดโดยใช้ภาษาทั่วไป ไม่ต้องใช้ภาษาคอมพิวเตอร์ในการเขียนโค้ดแบบเดิมๆ ช่วยทำให้ขั้นตอนการพัฒนาแอปพลิเคชันทำได้อย่างรวดเร็วมากยิ่งขึ้น และทำให้เป็นเรื่องง่ายสำหรับนักพัฒนาซอฟต์แวร์มือใหม่ที่ต้องการเริ่มสร้างแอปพลิเคชัน
5. การรักษาความเป็นส่วนตัวของข้อมูล
ในปัจจุบันการรักษาข้อมูลส่วนบุคคลของลูกค้าเป็นอะไรที่สำคัญมากสำหรับคนที่ทำธุรกิจ การปล่อยให้เกิดการโจรกรรมข้อมูลส่วนบุคคลทางออนไลน์นอกจากจะเสี่ยงต่อการโดนบทลงโทษทางกฎหมายแล้ว ยังเกิดความเสียหายต่อชื่อเสียงอีกด้วย
การป้องกันข้อมูลส่วนบุคคลของลูกค้าจึงเป็นสิ่งที่หลายแบรนด์เริ่มให้ความสำคัญ ยกตัวอย่างเช่น Mostly.ai และ Tonic.ai ใช้ Generative AI ในการสร้างข้อมูลสังเคราะห์ (Synthetic Data) จากข้อมูลจริง เพื่อรักษาความเป็นส่วนตัวในขณะที่สามารถรักษาให้ข้อมูลตรงกับความเป็นจริงให้ได้มากที่สุดเพื่อใช้ในการทดสอบ และทดสอบให้โมเดล AI และ Private AI สามารถปกปิดข้อมูลโดยไม่ระบุ PII ภายในชุดข้อมูล
บทสรุป
เพราะ Generative AI คืออีกหนึ่งสาขาของเทคโนโลยี AI ที่เข้ามามีบทบาทสำคัญกับธุรกิจมากยิ่งขึ้น ไม่ว่าจะในแง่ของพนักงานในองค์กรที่จะมีเวลาโฟกัสกับงานที่ต้องใช้ความคิดและงานเชิงกลยุทธ์มากยิ่งขึ้น ลดภาระหน้าที่งานบางอย่างที่ Generative AI สามารถช่วยซัพพอร์ตได้ หรือลูกค้าที่ได้รับบริการและประสบการณ์ในการซื้อสินค้าที่น่าประทับใจผ่าน Auto Chat ที่ถูกพัฒนาขึ้นมาด้วย Generative AI ให้ตอบทุกปัญหาที่สงสัยได้อย่างรวดเร็ว
หากคุณสนใจการนำ Generative AI ไปใช้งานให้ประสบผลสำเร็จแต่ยังไม่มั่นใจว่าจะเริ่มขั้นตอนอย่างไร ผู้เชี่ยวชาญของเรายินดีให้คำปรึกษาตั้งแต่ขั้นตอนการวางแผน การออกแบบขั้นตอนการทำงาน จนถึงการรับทําการตลาดออนไลน์ สามารถติดต่อ Digital Factory เพื่อพูดคุย รับคำแนะนำ กับผู้เชี่ยวชาญได้ที่ ติดต่อเรา