
คุณเคยมีประสบการณ์เกี่ยวกับการจำเนื้อ หรือทำนองเพลงที่ถูกเปิดในร้านค้า รวมถึงร้านอาหารกันบ้างหรือเปล่า แล้วพวกคุณรู้ไหมว่า นั่นคือหนึ่งในกลยุทธ์ทางการตลาดที่ช่วยสร้างการรับรู้และจดจำแบรนด์ผ่านตัวกลางอย่าง ‘‘เสียงเพลง’’ แน่นอนว่า เสียงเพลง หรือ เสียงดนตรี เป็นหนึ่งในกลยุทธ์ของการสื่อสารแบรนด์ที่ถูกนำมาใช้กันเยอะมากในปัจจุบัน
ข้อดีของการนำเสียงเพลงเข้ามาใช้ในการทำการตลาดนั้น คือการทำให้กลุ่มเป้าหมายเข้าถึงอารมณ์และความรู้สึกที่ทางแบรนด์ต้องการจะถ่ายทอดออกไปได้ง่ายและรวดเร็ว แม้จะฟังดูเป็นเรื่องง่าย แต่การทำการตลาดผ่านสิ่งที่เรียกว่าเสียงดนตรีให้พิชิตใจคนหมู่มากได้กลับเป็นอีกหนึ่งโจทย์ที่ท้าทาย ดังนั้น กลยุทธ์ Music Marketing ที่ดีควรจะเป็นอย่างไร และจะต้องทำยังไงให้แบรนด์ของคุณเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายส่วนใหญ่ได้ มาหาคำตอบกับเราไปด้วยกัน !

กลยุทธ์ Music Marketing เป็นอย่างไร ?
คุณเคยได้ยินสิ่งที่เรียกว่า ‘จิตวิทยากับเสียงดนตรี’ กันมาก่อนไหม แล้วรู้หรือไม่ว่า Impact ของเสียงดนตรีมีอิทธิพลกับมนุษย์เรามาตั้งแต่สมัยลืมตาดูโลกกันแล้ว
ยกตัวอย่างง่ายๆ เช่น คุณแม่ที่กำลังตั้งท้องเปิดเพลงกล่อมลูกน้อยตั้งแต่ตอนที่อยู่ในท้อง หรือพอโตขึ้นมาได้สักพักเด็กคนนั้นก็จะเริ่มเรียนภาษาผ่านบทเพลง ก-ฮ, A-Z หรือบทเพลงฝึกทักษะการเรียนรู้ต่างๆ เมื่อบทเพลงได้ถูกเปิดซ้ำไปวนมา ก็จะส่งผลทำให้เด็กคนนั้นจดจำรายละเอียดของบทเพลงที่ได้ฟังกันมากขึ้น มีการร้องตามในบางจังหวะ
ซึ่งทั้งหมดทั้งมวลนี้นี่แหละคืออิทธิพลของสิ่งที่เรียกว่า จิตวิทยาของเสียงดนตรี ที่เกี่ยวข้องกับระบบประสาทสัมผัสของมนุษย์ ผ่าน 4 องค์ประกอบหลักๆ ไม่ว่าจะเป็น
1. จังหวะของดนตรี
ไม่ว่าจะช้าหรือเร็วล้วนมีผลต่อการรับรู้ที่ต่างกันออกไปทั้งสิ้น จังหวะของดนตรีที่ช้า ก็จะทำให้คุณมีเวลาสำรวจกับสิ่งต่างๆ รอบตัวมากขึ้น ตรงกันข้ามกับจังหวะของดนตรีที่เร็ว ที่จะเป็นตัวกระตุ้นทำให้กิจกรรมที่คุณกำลังทำอยู่ดำเนินไปอย่างรวดเร็วมากขึ้น มีแรงหึกเหิมมากขึ้น ลองยกตัวอย่าง ปฏิกริยาของคุณเวลาฟังเพลงจังหวะร็อกกันดูได้
2. แนวเพลง
รูปแบบของแนวเพลงที่ใช้ก็ส่งผลต่อการรับรู้ได้เช่นเดียวกัน สมมุติว่าคุณไปสปา แต่ทางร้านกลับเปิดเพลงแดนซ์ ก็อาจจะทำให้คุณเกิดความรู้สึกอึดอัด หรือว่าไม่ผ่อนคลายสักเท่าไหร่ แนวเพลงสบายๆ เลยกลายเป็นตัวเลือกที่ตอบโจทย์มากกว่าสำหรับการทำสปา
3. ระดับเสียง
ที่ดูเหมือนว่าจะไม่สำคัญ แต่ระดับเสียงนั้นเป็นหนึ่งในเงื่อนไขที่ส่งผลต่อการรับรู้และจดจำได้เช่นเดียวกัน เพราะสินค้าหรือบริการบางอย่างอาจจะเหมาะกับระดับเสียงเพลงที่ดัง บางอย่างอาจจะเหมาะกับระดับเสียงเพลงที่เบา ยกตัวอย่างเช่น เพลงบรรเลงที่เปิดคลอเบาๆ ระหว่างที่คุณกำลังนวด หรือทำสปา ที่จะช่วยส่งเสริมทำให้คุณเกิดความรู้สึกสบายและรีแลกซ์กับสิ่งรอบข้างได้มากกว่านั่นเอง
4. โหมดของเสียง
ไม่ว่าจะเป็นเสียงเบส เสียงนุ่ม เสียงทุ้ม หรือเสียงกระจาย ทุกโหมดของเสียงสามารถส่งผลต่อความสามารถในการรับรู้ที่แตกต่างกันได้
ข้อดี Music Marketing คืออะไร ?
- ช่วยสร้างตัวตนของแบรนด์ : โดยผ่านการเชื่อมต่อทางอารมณ์ที่ส่งไปถึงผู้บริโภค อีกทั้งถ้าผู้บริโภคของคุณได้ยินเสียงเพลงนั้นอย่างสม่ำเสมอ ก็จะทำให้เกิดการจดจำที่เพิ่มขึ้นได้ ยิ่งถ้าเพลงไหนมีเนื้อร้อง หรือมีการใส่เรื่องราวเข้าไปประกอบด้วย ตัวตนของแบรนด์ก็จะยิ่งชัดขึ้น
- ช่วยเพิ่มการมีส่วนร่วม : ข้อนี้จะเห็นตัวอย่างได้ชัดในรูปแบบของวงดนตรี เพราะถ้ากลุ่มเป้าหมายมีการบริโภคผลงานจนเกิดการจดจำได้ในระดับที่ดี พวกเขาเหล่านั้นก็จะค่อยๆ กระจายการมีส่วนร่วมออกไปในช่องทางอื่นๆ มากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นช่องทาง Social Media, แพลตฟอร์มสตรีมมิงเพลง รวมไปถึงช่องทางการติดตามอื่น ๆ ของศิลปิน
- ช่วยส่งเสริมการขาย : ย้อนกลับไปในหัวข้อ 4 องค์ประกอบทางจิตวิทยาก่อนหน้านี้ คุณจะเห็นแล้วว่าทุกองค์ประกอบมีความเชื่อมโยงถึงกันหมด เมื่อผู้บริโภคเกิดการรับรู้และจดจำ สิ่งที่ตามมาหลังจากนั้นนั่นก็คือ ‘การตัดสินใจซื้อ’ แต่มีข้อแม้ที่ต้องระวังอยู่ข้อเดียวนั่นก็คือ เลือกเพลงอย่างไร ให้กลยุทธ์การตลาดผ่านเสียงเพลงของคุณ พิชิตใจคนส่วนใหญ่ได้มากที่สุด
Music Marketing ตัวอย่างการทำการตลาดผ่านเสียงเพลงที่ประสบความสำเร็จ !
1. ตัวอย่าง Music Marketing : แบรนด์ Donki
เพลงประกอบร้าน Donki ที่เชื่อว่า 90% ของคนส่วนใหญ่ที่เคยมีประสบการณ์การซื้อสินค้าที่ร้านค้าแห่งนี้ แค่ได้ยินทำนอง หรือบางท่อนของดนตรี ล้วนจะต้องจำได้อย่างแน่นอน กับดนตรีประกอบร้านทำนองสนุกๆ มีท่อนร้องอันเป็นเอกลักษณ์อย่าง Don Don Don Donki
2. ตัวอย่าง Music Marketing : แบรนด์ Lactasoy
หรือจะเป็นกรณีเพลง ทรงอย่างแบด ที่ถูกนำไปรีเมกในเวอร์ชันของแบรนด์สินค้าอย่าง แลตตาซอย ที่ช่วยเพิ่มการเข้าถึงของทาร์เก็ตที่หลากหลายมากขึ้น ผ่านศิลปินที่กำลังมีชื่อเสียงในขณะนั้นอย่าง PaperPlanes
3. ตัวอย่าง Music Marketing : แบรนด์ Buttebear
และล่าสุดกับปรากฏการณ์น้องหมีเนย (Butter Bear) Mascot ของร้าน Butter Bear ที่มีเพลงประจำตัวจังหวะสนุกสนาน ฟังครั้งเดียวก็ร้องตามได้ทันที
Music Marketing ทำอย่างไรให้พิชิตใจคนวัยมันส์ !
หนึ่งจุดที่ยาก สำหรับการทำการตลาดผ่านเสียงเพลงในยุคนี้นั่นก็คือ ‘ปริมาณของคู่แข่ง’ ดังนั้นจุดที่คุณควรจะโฟกัสเพื่อเดินหน้าปั้นกลยุทธ์ Music Marketing ให้ประสบความสำเร็จนั่นก็คือ…
- กำหนดตัวตนของแบรนด์ให้ชัดเจน : ไม่ว่าจะเป็นจุดประสงค์ของการทำการตลาดในครั้งนี้, ภาพลักษณ์ที่ต้องการสื่อสาร, กลุ่มเป้าหมาย ไปจนถึงสินค้าและบริการที่คุณต้องการจะโปรโมตผ่านเสียงเพลงนั้นคืออะไร สโคปออกมาให้เหลือเฉพาะสิ่งที่จำเป็นและสำคัญที่สุด เพื่อที่ว่าคุณจะสามารถต่อยอดกับสิ่ง ๆ นั้นได้ง่าย และตรงกับวัตถุประสงค์ที่ได้วางไว้จริงๆ
- เลือกเพลงที่เหมาะสม : ข้อนี้สำคัญมาก เพราะถ้าก้าวเท้าพลาดแค่นิดเดียว แคมเปญที่คุณกำลังทำอยู่อาจจะเกิดการสะดุดขึ้นมาได้ ซึ่งเคล็ดลับของการเลือกเพลงที่เหมาะสมในการทำการตลาด ก็มาจากการวิเคราะห์และสรุปข้อมูลทุกอย่างออกมาในข้อที่ 1 นั่นเอง
- สื่อสารออกไปอย่างไรให้น่าสนใจ : บอกเลยว่าเทคนิคประกอบต่างๆ นั้นสำคัญมาก คุณอาจจะไม่ได้ทำเพลงออกมาเพียงแค่อย่างเดียว อาจจะมีมาสคอต, มิวสิกวิดีโอ หรือเนื้อร้องเพื่อเพิ่มความน่าสนใจให้กับดนตรีก็ได้เช่นกัน นอกจากนั้นยังรวมไปถึงการวางแผนทำการตลาดกับบทเพลง ที่จะต้องดีไซน์ออกมาเป็นลำดับขั้นตอน จะโปรโมตผ่านช่องทางไหน เทรนด์ตอนนี้เป็นอย่างไร ทุกอย่างที่ถูกนำมาใช้ในการอ้างอิง คุณสามารถ Research หรือหาข้อมูลด้วยตัวเองได้ผ่านการเข้าไปคลุกคลีกับการตลาดในช่วงนั้น
บทสรุป
เชื่อว่าพวกคุณทุกคนที่เข้ามาอ่านบทความนี้ น่าจะพอเห็นภาพกว้างๆ ของการทำ Music Marketing กันแล้ว ว่าสิ่งไหนที่ควรโฟกัส และควรจะให้ความสำคัญในการทำการตลาดประเภทนี้ นอกเหนือจากนี้คุณยังสามารถหาไอเดียและ Inspiration จากแบรนด์ที่ประสบความสำเร็จมาแล้วก่อนหน้านี้ได้ เพื่อความเข้าใจที่เพิ่มมากขึ้น
แต่ถ้าหากใครยังไม่แน่ใจ หรือไม่เคยมีประสบการณ์เกี่ยวกับการทำมาร์เก็ตติ้งผ่านเสียงดนตรีมาก่อน ทาง Digital Factory ของเรารับให้คำปรึกษา รวมไปถึง รับทำการตลาดออนไลน์ สำหรับผู้ประกอบการมือใหม่ ที่อยากได้ทีมงานที่เชี่ยวชาญ มีประสบการณ์คลุกคลีอยู่กับวงการ Marketing มานาน ในการเข้ามาช่วยดูแลแบรนด์ของคุณ อย่าลังเลที่จะติดต่อเราเข้ามา เพราะเรามีทีมงานคอยสแตนบายให้คำปรึกษากับคุณอยู่