
เคยสงสัยไหมว่า ธุรกิจเก่งๆ เขาทำยังไงให้ประสบความสำเร็จ ? เคล็ดลับหนึ่งก็คือ การวิเคราะห์ SWOT นั่นเอง สำหรับคำว่า “SWOT Analysis” นักการตลาดหลายท่านคงจะได้ยินคำนี้กันอยู่บ่อยๆ ซึ่งนักการตลาดบางคนก็คงจะเข้าใจคำนี้เป็นอย่างดี แต่สำหรับบางคนก็อาจจะเคยได้ยินผ่านๆ แต่ไม่ทราบรายละเอียดเชิงลึกสักเท่าไหร่ว่ามันหมายถึงอะไร
บทความนี้ จะพาคุณไปทำความรู้จักเกี่ยวกับความหมายที่แท้จริงของการวิเคราะห์ SWOT คืออะไร พร้อมยกตัวอย่างธุรกิจ เพื่อเป็นกรณีศึกษาสำหรับนักธุรกิจมือใหม่ เพื่อที่คุณจะหาจุดแข็งจุดอ่อนในการทำงานได้นั่นเอง !

SWOT คืออะไร ทำไมถึงสำคัญ ?
SWOT Analysis คือ การนำปัจจัย 4 อย่างของธุรกิจ คือ จุดแข็ง จุดอ่อน โอกาส และ อุปสรรค มาวิเคราะห์ โดยมีเป้าหมายเพื่อนำจุดแข็งไปปรับใช้ให้เหมาะกับสภาวะทางการตลาด และจัดการกับจุดอ่อนด้วยการแก้ไขปัญหาและลดความเสี่ยงที่ส่งผลเสียต่อองค์กร เพื่อทำให้ธุรกิจสามารถไปต่อได้อย่างราบรื่น
ใครเป็นคนคิดทฤษฎี SWOT Analysis ?
ผู้คิดค้นแนวคิดนี้ คือ “อัลเบิร์ต ฮัมฟรี (Albert Humphrey)” สำเร็จการศึกษาระดับปริญญาตรีจากสถาบันเทคโนโลยีแมสซาชูเซตส์ (MIT) และปริญญาโทด้านบริหารธุรกิจจาก Harvard Business School furthermore ทำงานที่องค์กรส่วนหนึ่งของมหาวิทยาลัย Stanford Research Institute (SRI International) อีกทั้งยังเป็นนักวิจัย ผู้ให้คำปรึกษา คำแนะนำ เพื่อทำให้ธุรกิจสามารถเติบโตและพัฒนาได้ยั่งยืนกว่าเดิม เรียกได้ว่าเป็นบุคคลที่มีโปรไฟล์สวยหรูมากเลยทีเดียว
หากย้อนกลับไปในช่วงทศวรรษ 1960-1970 อัลเบิร์ต ฮัมฟรี ทำงานอยู่ที่สถาบันวิจัยสแตนฟอร์ด (Stanford Research Institute) ในตอนนั้น เขากำลังศึกษาหาสาเหตุว่า “ทำไมแผนธุรกิจบางบริษัทถึงล้มเหลว ?” ซึ่งเป็นเป้าหมายแรกเริ่มที่ทำให้เขาริเริ่มสร้างเครื่องมือวิเคราะห์ที่ชื่อว่า “SOFT Analysis” ต่อมาจึงถูกเปลี่ยนชื่อเป็น “SWOT” หรือ “SWOT Analysis” อย่างที่หลาย ๆ คนคุ้นเคยกัน
และในปัจจุบัน SWOT Analysis ก็กลายเป็นเครื่องมือที่ได้รับความนิยมอย่างมาก ถูกนำไปใช้วิเคราะห์ธุรกิจ กลยุทธ์ การตลาด โครงการ ฯลฯ
เจาะลึกองค์ประกอบ SWOT มีอะไรบ้าง
SWOT ย่อมาจาก 4 องค์ประกอบหลัก ที่จะช่วยให้คุณวิเคราะห์ธุรกิจ โปรเจค หรือแม้แต่ตัวเองได้อย่างมีประสิทธิภาพ มาดูกันว่าแต่ละองค์ประกอบของ SWOT คืออะไรกันบ้าง
1. S = จุดแข็ง (Strength)
อะไรคือ “ไม้ตาย” ของคุณ ? สินค้า บริการ ทีมงาน หรือกลยุทธ์สุดล้ำ ? จุดแข็งเหล่านี้คือสิ่งที่ทำให้ธุรกิจของคุณโดดเด่นเหนือคู่แข่ง และความสามารถในการสร้างสินค้าหรือบริการที่มีคุณภาพสูง ทำให้ลูกค้าชอบ ซึ่งเป็นสิ่งที่โดดเด่นหรือแตกต่างจากคู่แข่ง ตัวอย่างเช่น คุณเป็นบริษัทขายเมทัลชีทที่นำเข้าม้วนคอยล์เองจากจีน จุดแข็งคือ ความสามารถในการคุมราคาเมทัลชีท เป็นต้น
2. W = จุดอ่อน (Weakness)
ธุรกิจต่างมีจุดอ่อนด้วยกันทั้งนั้น แต่อะไรคือสิ่งที่ต้องพัฒนา ? ต้นทุนที่สูง ? เทคโนโลยีที่ล้าสมัย ? หรือการขาดแคลนบุคลากรที่เชี่ยวชาญ หรือ กิจกรรมทางธุรกิจที่คู่แข่งทำได้ดีกว่า ตัวอย่างเช่น การขาดแคลนเงินทุน หรือ การอบรมเรื่อง “Service Mind” ให้เจ้าหน้าที่บริการที่ยังไม่มีประสิทธิภาพมากพอ ทำให้คุณภาพงานบริการสู้คู่แข่งไม่ได้ เนื่องจากการระบุจุดอ่อนเหล่านี้จะช่วยให้คุณแก้ไขและเสริมสร้างธุรกิจให้แข็งแกร่งยิ่งขึ้น
3. O = โอกาส (Opportunities)
การมองหาเทรนด์ใหม่ๆ ที่จะช่วยต่อยอดธุรกิจของคุณ ! เศรษฐกิจที่เติบโต ? เทคโนโลยีล้ำสมัย ? หรือแม้แต่พฤติกรรมผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลง โอกาสเหล่านี้รอให้คุณคว้าไว้ เพื่อให้เกิดผลดีต่อธุรกิจหรือองค์การของคุณ ตัวอย่างเช่น พฤติกรรมผู้บริโภคที่ต้องการสินค้าที่คุณขายเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง
4. T = อุปสรรค (Threats)
อะไรคือภัยคุกคามต่อธุรกิจของคุณ ? คู่แข่งรายใหม่ ? กฎระเบียบที่เข้มงวด ? หรือวิกฤตเศรษฐกิจก็ตาม การวิเคราะห์อุปสรรคจะช่วยให้คุณเตรียมพร้อมรับมือกับสถานการณ์ที่ไม่คาดฝัน หรือภาวะที่เกิดขึ้นแล้วส่งผลเสียต่อการทำธุรกิจ ตัวอย่างเช่น ราคาวัตถุดิบของคุณเพิ่มสูงขึ้นแต่เศรษฐกิจซบเซาคนไม่มีกำลังซื้อ คุณจะขึ้นราคาสินค้าก็ไม่ได้ จะทำโปรโมชันก็ยาก

วิธีการวิเคราะห์ SWOT ต้องทำยังไงให้ปัง ? ด้วย 5 ขั้นตอน ง่าย ๆ สู่ความสำเร็จ
1. รวบรวมข้อมูลทั้งหมดขององค์กร
เริ่มต้นด้วยการรวบรวมข้อมูลทั้งหมดขององค์กรเป็นอะไรที่สำคัญมาก โดยคุณอาจจะรวบรวมข้อมูลทั้งหมดผ่านการสรรหาคนที่เหมาะสมที่สุดจากทุกตำแหน่งในบริษัทหรือจากทุกทีมมาร่วมประชุม เพื่อมองหามุมมองต่อธุรกิจที่แตกต่างกัน จากนั้นมาแชร์ข้อมูลมุมมองของแต่ละคนเกี่ยวกับธุรกิจ มองหาจุดเด่น จุดด้อย โอกาส และอุปสรรคที่พวกเขาเจอ
1. รวบรวมข้อมูลทั้งหมดขององค์กร
เริ่มต้นด้วยการรวบรวมข้อมูลทั้งหมดขององค์กรเป็นอะไรที่สำคัญมาก โดยคุณอาจจะรวบรวมข้อมูลทั้งหมดผ่านการสรรหาคนที่เหมาะสมที่สุดจากทุกตำแหน่งในบริษัทหรือจากทุกทีมมาร่วมประชุม เพื่อมองหามุมมองต่อธุรกิจที่แตกต่างกัน จากนั้นมาแชร์ข้อมูลมุมมองของแต่ละคนเกี่ยวกับธุรกิจ มองหาจุดเด่น จุดด้อย โอกาส และอุปสรรคที่พวกเขาเจอ
2. วิเคราะห์จุดแข็งและจุดอ่อน
หลังจากที่รวบรวมข้อมูลทั้งหมดจากทุกหน่วยงานและแต่ละทีมแล้ว ก็นำข้อมูลที่ได้มาตรวจสอบและระบุจุดแข็งของธุรกิจที่มีอยู่ เช่น ทีมที่เก่ง สินค้าที่โดนใจ บริการสุดยอด พร้อมทั้งหาจุดอ่อนที่ต้องพัฒนา เช่น ระบบที่ล้าสมัย กลยุทธ์ที่ไม่ค่อยปัง เพื่อหารือว่าสิ่งไหนบ้างที่คุณควรปรับ สิ่งไหนบ้างที่คุณควรแก้ สิ่งไหนบ้างที่คุณควรพัฒนาให้มันดีขึ้น
3. จัดทำแผนการดำเนินงาน
เมื่อคุณได้ข้อมูลการวิเคราะห์หาจุดแข็ง-จุดอ่อนแล้ว ก็นำข้อมูลที่ได้จากการวิเคราะห์มากำหนดยุทธวิธีในการใช้จุดแข็งเพื่อเอาไปแก้ไขจุดอ่อน นำโอกาสมาใช้ให้เกิดประโยชน์แก่องค์กร จัดการลดอุปสรรคที่จะเป็นปัญหาต่อองค์กรในอนาคต และรับมือกับภัยคุกคามที่อาจเกิดขึ้น เพื่อเตรียมแผนสำรองเผื่อไว้ด้วยนะ
4. ประเมินแผนการดำเนินงาน
เมื่อเริ่มจัดทำแผนการดำเนินงานแล้ว ก็อย่าลืมประเมินความเป็นไปได้และผลกระทบของแผนการดำเนินงานที่สร้างขึ้นด้วย ทางที่ดีเตรียมแผนที่ 1 แล้ว ก็อย่าลืมเตรียมแผนที่ 2 เผื่อฉุกเฉินต้องนำมาปรับใช้รับมือยามแผนที่ 1 ไม่ได้ผลลัพธ์ตามที่คาดหวังด้วย
5. การดำเนินงานและติดตามผล
เมื่อมีแผนแล้ว ก็เริ่มลุยเลย ! โดยดำเนินการตามแผนและติดตามผลตามที่กำหนดอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้ทราบว่ากำลังไปในทิศทางที่ถูกต้องหรือไม่ รวมถึงการวัดผลลัพธ์ที่ได้เปรียบเทียบกับเป้าหมายที่กำหนดไว้ เนื่องจากการติดตามผลที่ได้จะช่วยในการระบุปัญหาหรืออุปสรรคที่อาจเกิดขึ้นและการปรับปรุงแผนการดำเนินการต่อไป
ตัวอย่าง SWOT ธุรกิจร้านกาแฟ
เราจะขอหยิบยกการสมมุติเพื่อให้ทุกคนเห็นภาพชัดเจนมากยิ่งขึ้น ตัวอย่างเช่น ธุรกิจประเภทคาเฟ่ที่เน้นขายพายผลไม้และพายเนื้อในมิชิแกน โดยสินค้าที่จำหน่ายนั้นครอบคลุมทั้งแบบพายร้อนพร้อมรับประทาน และพายแช่แข็งที่นำกลับบ้านได้ ตลอดจนถึงการจำหน่ายสลัดผักสดและเครื่องดื่มต่างๆ
โดยวางแผนเปิดสาขาใหม่แถบชานเมือง รวมทั้งเน้นพัฒนาโมเดลธุรกิจที่ขยายกิจการได้เร็ว ง่าย และไปสู่การสร้างแฟรนไชส์ เมื่อวิเคราะห์ธุรกิจตามกรอบคิด SWOT แล้วนั้น จะได้องค์ประกอบดังนี้
1. Strength
ทำเลดี ทำเลแถบชานเมืองแห่งแรกจะดึงดูดนักท่องเที่ยวและผู้ซื้อในแถบดังกล่าว โดยทางแบรนด์มีเอกลักษณ์ที่เป็นจุดเด่นกว่าคู่แข่งในตลาด คือ เป็นร้านฟาสต์ฟู้ดที่จำหน่ายอาหารเกรดคุณภาพดี มีการจัดการเป็นระบบ และมีทีมงานมากความสามารถ รวมถึงประสบการณ์ทางธุรกิจที่หลากหลาย
2. Weakness
ทางแบรนด์ขาดเงินทุน ทำให้การลงทุนขยายสาขาของธุรกิจสตาร์อัปเช่นนี้เป็นไปอย่างล่าช้า เนื่องจากจำเป็นต้องอาศัยเงินทุนจากนักลงทุน หรือกู้สินเชื่อจากสถาบันการเงิน อีกทั้งทางแบรนด์เองก็ยังขาดชื่อเสียง เนื่องจากไม่ได้เป็นผู้ผลิตพายเนื้อรายใหญ่ที่เป็นที่รู้จักในวงกว้าง
3. Opportunity
การเติบโตของทำเล พื้นที่ชานเมืองที่วางแผนจะขยายสาขาไปนั้นมีอัตราการเติบโตปีละ 8.5%
เนื่องจากเป็นแหล่งชุมชนของครอบครัววัยทำงาน อีกทั้งย่านดังกล่าวยังเป็นที่อยู่อาศัยของครอบครัวที่ต้องทำงานและมีลูกเล็ก พ่อแม่ที่ทำงานและมีลูกแตไม่มีเวลาเตรียมอาหารให้ลูกทุกมื้อ ฟาสต์ฟู้ดจึงกลายเป็นตัวเลือกที่เข้ามาตอบโจทย์ Pain Point ส่วนนี้
4. Threat
เนื่องจากในตลาดมีส่วนแบ่งและมีคู่แข่งเยอะเกินไป อีกทั้งร้านขายพายเนื้อที่จำหน่ายสินค้าแบบเดียวกัน มีลูกค้าประจำอยู่แล้ว
ข้อควรระวังในการวิเคราะห์ SWOT เพื่อหลีกเลี่ยง 4 กับดัก
SWOT Analysis เครื่องมือที่ช่วยให้ธุรกิจของคุณเข้าใจตัวเอง ลู่ทาง และคู่แข่ง แต่ระวัง! กับดักที่ซ่อนอยู่ 4 ข้อนี้ อาจทำให้ SWOT ของคุณอาจนำไปสู่กลยุทธ์ที่ผิดพลาด มาดูกันว่ามีอะไรบ้าง และจะเลี่ยงได้อย่างไร
1. อคติและความคิดเห็นส่วนตัว
การตัดสินใจอะไรสักอย่าง โดยอาศัยแค่ “ความรู้สึก” หรือ “ลางสังหรณ์” ว่า “สินค้าตัวนี้ดี ลูกค้าต้องชอบแน่ๆ” โดยไม่มีข้อมูลอะไรมายืนยัน เชื่อไหมว่า วิธีคิดแบบนี้ มักนำไปสู่กลยุทธ์ที่ผิดพลาด สูญเสียเงินทอง และโอกาสมากมาย ลองจินตนาการดูสิคะ ว่าถ้าคุณเอาเงินไปลงทุนกับสินค้าที่ “คิดว่าดี” โดยไม่วิเคราะห์ข้อมูลให้ละเอียด สุดท้ายสินค้าอาจขายไม่ดี เงินก็สูญเปล่า
วิธีแก้:
- หาข้อมูลเชิงลึกจากแหล่งที่เชื่อถือได้ เช่น สถิติ การวิจัย
- วิเคราะห์เชิงปริมาณ ควบคู่กับเชิงคุณภาพ
- ใช้ตัวเลข เปอร์เซ็นต์ เปรียบเทียบ
2. มองไม่รอบด้าน มองแต่แง่ดี
มัวแต่โฟกัสจุดแข็ง โอกาส แต่ละเลยจุดอ่อน อุปสรรค กลยุทธ์ที่ออกมาอาจดูสวยหรู แต่ยากต่อการปฏิบัติจริง ตัวอย่างเช่น “คุณเก่งเรื่องเทคโนโลยี แต่พนักงานในทีมยังไม่เข้าใจเทคโนโลยี” จะทำงานร่วมกันได้ยังไง ? กลยุทธ์ที่วางไว้ดีแค่ไหน สุดท้ายก็ไปต่อไม่ได้อยู่ดี
วิธีแก้:
- มององค์กรอย่างรอบด้าน วิเคราะห์ทั้งแง่บวก แง่ลบ
- ถามพนักงาน คู่ค้า ลูกค้า ระดมความคิดเห็น
- มองหาจุดอ่อนที่ซ่อนอยู่ เช่น ต้นทุนที่สูง
3. การวิเคราะห์ที่ไม่ครอบคลุม
บ่อยครั้งที่เผลอตื่นเต้นกับโอกาสใหม่ คิดว่าธุรกิจนี้ต้องปังแน่ ๆ แต่พอลงมือทำเท่านั้น.. ทำไมมันไม่เป็นอย่างที่คิด นั่นเพราะโอกาสไม่ได้เกิดขึ้นง่าย ๆ ขาดการวิเคราะห์อย่างรอบคอบ จริง ๆ แล้ว โอกาสเปรียบเสมือนเมล็ดพันธุ์ที่ต้องผ่านการวิเคราะห์อย่างละเอียด รดน้ำพรวนดิน ใส่ปุ๋ย เพื่อดูว่ามันมีโอกาสงอกงามและเติบโตเป็นธุรกิจที่มั่นคงหรือเปล่า
วิธีแก้:
- วิเคราะห์โอกาสอย่างเป็นรูปธรรม พิจารณาความเป็นไปได้
- ประเมินความเสี่ยง ควบคู่กับโอกาส
- ตั้งเป้าหมายที่ SMART (Specific, Measurable, Achievable, Relevant, and Time-bound)
4. ขาดการติดตามผล
กลยุทธ์สุดเจ๋ง วิเคราะห์ SWOT เสร็จสรรพ แต่ทำไมไม่เห็นผลลัพธ์ ? สาเหตุหลักๆ เลยก็คือ การขาดการติดตามผล นั่นเอง เปรียบเสมือนมีแผนที่ แต่ไม่รู้เส้นทาง ผลลัพธ์คือ…หลงทางแน่นอน !
วิธีแก้:
- วัดผลลัพธ์ เปรียบเทียบกับเป้าหมายที่ตั้งไว้
- วิเคราะห์ว่าอะไรดี อะไรต้องปรับปรุง
- พัฒนาปรับกลยุทธ์ให้ดียิ่งขึ้น
SWOT ที่ดีเปรียบเสมือนกลยุทธ์ที่เฉียบคมนำทางธุรกิจไปสู่ความสำเร็จ ระวังหลุมพรางเหล่านี้ให้ดี ปรับใช้ SWOT ให้เหมาะสมกับธุรกิจของคุณ แล้วคุณจะไปถึงเป้าหมายได้อย่างแน่นอน !
บทสรุป
และนี่ก็คือสาระดี ๆ เกี่ยวกับ SWOT Analysis ที่เรานำมาฝากคุณในวันนี้ การวิเคราะห์ SWOT เป็นอีกกระบวนการวางแผนกลยุทธ์ใหม่หรือต่อยอดจากเดิมให้ดีขึ้น ซึ่งเป็นเรื่องที่สำคัญและส่งผลในทางบวกต่อธุรกิจเป็นอย่างมาก แต่ต้องทำความเข้าใจก่อนว่า SWOT นั้น ไม่ใช่คำตอบเดียวที่จะมาแก้ปัญหาทุกปัญหาทั้งภายในและภายนอกได้ อย่าลืมว่าการทำธุรกิจคือการวิ่งระยะไกล ทุกอย่างต้องใช้เวลาและใส่ใจเป็นพิเศษเพื่อจะได้รับมือกับปัญหารวมถึงอุปสรรคได้ทัน
สำหรับใครที่ไม่มีทีมงานมากพอสำหรับช่วยกันทำ SWOT แต่อยากไปถึงเส้นชัย ให้ Digital Factory เป็นผู้ช่วยของคุณสิ ! เพราะที่ Digital Factory เราพร้อมให้บริการด้านการตลาดออนไลน์แบบครบวงจร และ รับวางแผนกลยุทธ์การตลาด แล้วการวิ่งระยะไกลให้ถึงเส้นชัยของคุณจะไม่ใช่เรื่องยากอีกต่อไป !